“Power Fish”   ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงสำหรับพืช จากการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สู่ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

“Power Fish” ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงสำหรับพืช
จากการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สู่ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
โดยบริษัท พรีเมียร์ แคนนิ่ง อินดัสตรี้ จำกัด

วันนี้โลกของเราทรัพยากรต่าง ๆ เริ่มลดลง ความต้องการใช้ทรัพยากรสวนทางยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางเรื่องการสร้างความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่ลดการใช้เพียงเอย่างเดียว  แต่คือการใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด

จากแนวคิด “ความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน”  สู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Power Fish  น้ำสกัดปลาทะเลน้ำลึกเข้มข้น  เพื่อเป็น ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงสำหรับพืช  โดยบริษัท พรีเมียร์ แคนนิ่ง อินดัสตรี้ จำกัด มุ่งมั่นในการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า โดยนำส่วนเหลือจากกระบวนการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น หัวปลา หนัง ก้าง และไส้ ซึ่งยังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางอาหาร มาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ “Power Fish” น้ำสกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเข้มข้น ที่เหมาะสำหรับพืชทุกชนิด โดยการแปรรูปวัตถุดิบเหลือใช้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ที่ไม่เพียงช่วยลดของเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสร้าง “คุณค่าใหม่” จากของที่เหลือจากกระบวนการผลิต เกิดเป็นวงจรการผลิตที่ครบถ้วน คุ้มค่า และยั่งยืน

Power Fish จึงไม่ใช่แค่ปุ๋ยอินทรีย์ แต่คือผลของการคิดอย่างถี่ถ้วนรอบด้าน เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดและความคุ้มค่าจากทุกทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดคุณค่าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร ชุมชน และสังคม

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ Power Fish ใส่ใจในคุณภาพด้วยการผลิตที่ปลอดภัย ไม่ใช้สารเคมี ควบคู่กับการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ผ่านการรับรองด้วย มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM เท่าเทียมกับสหภาพยุโรปจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์

  • อุดมด้วยสารอาหารหลักครบถ้วนทั้ง ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และ โพแทสเซียม (K) เพื่อการเจริญเติบโตของพืช
  • มีฮอร์โมนธรรมชาติ เพิ่มผลผลิตให้กับพืชโตเร็วและให้ผลผลิตดี
  • ผสมผสานด้วย จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคพืช
  • อุดมไปด้วย กรดอะมิโนมากกว่า 14 ชนิด กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
  • ใช้วัตถุดิบปลาทูน่าคุณภาพสูง มี แหล่งที่มาตรวจสอบได้ มั่นใจได้ในทุกขั้นตอนการผลิต
  • ปราศจากสารเคมี 100% ปลอดภัยต่อพืช ผู้ใช้งาน และสิ่งแวดล้อม
  • มีความเข้มข้นสูง สามารถ เจือจางได้ 200–1,000 เท่า ใช้งานง่ายและปรับความเหมาะสมได้ตามชนิดของพืช

ส่วนประกอบของ Power Fish

  • เศษปลาทูน่า – ปลาทูน่าที่มาจากมหาสมุทร ที่มาจากการประมงที่ถูกกฎหมาย เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า และควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • จุลินทรีย์ที่ดี – ถูกคัดสรรเพื่อช่วยให้กระบวนการหมักที่เหมาะสม ไม่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม (Non-GMO)
  • กากน้ำตาล – แหล่งพลังงานสำหรับจุลินทรีย์ เพิ่มกลิ่นหอมให้กับผลิตภัณฑ์
  • น้ำ –เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการหมักให้ย่อยสลายได้เร็ว

สอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมโทร : 098-451-9442

ความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการน้ำและพลังงานอย่างยั่งยืน ครบรอบ 50 ปี บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน)

ความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการน้ำและพลังงานอย่างยั่งยืน
ครบรอบ 50 ปี บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน)

“ทรัพยากรน้ำและพลังงานมีอยู่อย่างจำกัด และอาจหมดไปหากใช้อย่างไม่รู้คุณค่า จึงควรมีการบริหารจัดการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อใช้งานทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ โดยตระหนักว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำเนินชีวิต บริษัทจึงมุ่งมั่นในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดของเสีย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตและกิจกรรมขององค์กร 

บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า “การที่มนุษย์มีทรัพยากรทั้งน้ำสะอาด และพลังงานใช้ในการดำรงชีวิตอย่างเพียงพอ จะส่งผลให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี และจะต้องบำบัดน้ำที่ผ่านการใช้งานให้ได้มาตรฐานความสะอาดก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รักษาระบบนิเวศ และมีความรับผิดชอบ” เป็นสิ่งที่บริษัทยึดถือและใช้ความเชี่ยวชาญเพื่อร่วมแก้ปัญหาสังคม ทั้งการบำบัดน้ำ การผลักดันให้ใช้พลังงานสะอาดทดแทนเพื่อลดปัญหาโลกร้อน รวมถึงการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพให้กับบุคลากรและผู้ประกอบการ  

ในปี 2568 นี้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ครบรอบการก่อตั้ง 50 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำและพลังงานสะอาดครบวงจรในระดับสากล ด้วยจุดแข็ง 4 ด้านคือ ผู้เชี่ยวชาญ – นวัตกรรม – คุณภาพ – ความยั่งยืน ด้วยแนวคิด “Brighten the future จุดประกาย อนาคตที่ยั่งยืน” 

ด้วยจุดแข็งของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำและพลังสะอาดแบบครบวงจร (Total Solution Provider) ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย (Industrial Expert) ทำให้บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์พร้อมให้ความรู้ด้านสินค้าและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกับคู่ค้าด้วยความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล

นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้าและโซลูชั่นที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า รวมถึงงานผลิตและวิจัยที่มีสิทธิบัตรรับรองและคิดค้นรายแรกในไทย ด้วยสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์กับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

รวมไปถึงความใส่ใจในคุณภาพการผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มุ่งเน้นการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ชุมชน และสังคม และความใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขององค์กร สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ในการสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน 

บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ พร้อมขยายแนวปฎิบัติทางธุรกิจ เพื่อสร้างความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภายในองค์กร ชุมชนโดยรอบ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ  พร้อมทั้งมองหาแนวทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมการสื่อสาร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย และพร้อมปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต

“กาแฟมีวนา” กับภารกิจฟื้นฟูป่าเชียงรายอย่างยั่งยืน

“กาแฟมีวนา”
กับภารกิจฟื้นฟูป่าเชียงรายอย่างยั่งยืน

ในทุกแก้วของ กาแฟมีวนา ไม่ได้มีแค่รสชาติหอมกลมกล่อมจากเมล็ดกาแฟอินทรีย์เท่านั้น  แต่ยังมี “ความตั้งใจ” ที่รักษาผืนป่าต้นน้ำของเชียงรายไว้อย่างยั่งยืน ผ่านการทำงานร่วมกับชุมชน เกษตรกร และภาครัฐในพื้นที่ ทั้งในรูปแบบของ “การป้องกันไฟป่า” และ “การฟื้นฟูพื้นที่ป่า”

กิจกรรมร่วมมือสู้ไฟป่า! พลังของชุมชนเพื่อปกป้องผืนป่าเชียงราย เพราะมีวนาเชื่อว่าการจัดการไฟป่าไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็น “ภารกิจของทุกคน” โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยและพึ่งพาป่าอย่างใกล้ชิด 

ปี 2568 นี้ “มีวนา” ร่วมกับ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟอินทรีย์รักษาป่า จาก 7 หมู่บ้าน ใน 3 อำเภอของเชียงราย ได้แก่ เวียงป่าเป้า, แม่สรวย และเมืองเชียงราย ร่วมกันทำแนวกันไฟ – ลาดตระเวนเฝ้าระวัง เพื่อปกป้องผืนป่าต้นน้ำที่เป็นแหล่งต้นทางของทรัพยากรน้ำและชีวิต

โดยเป้าหมายปี 2568

– ทำแนวกันไฟ 40 กิโลเมตร
– ลาดตระเวนไฟป่า 400 กิโลเมตร

 ผลการดำเนินการ (ณ พ.ค. 2568)

-ทำแนวกันไฟแล้ว 34.90 กม.
-ลาดตระเวนไฟป่าแล้ว 520.55 กม.
รวมระยะทางปกป้องป่าแล้วกว่า 555.45 กิโลเมตร

และเพราะการดูแลป่าต้นน้ำให้ยั่งยืน ไม่ได้มีแค่การปกป้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูอีกด้วยค่ะ ในช่วงฤดูฝนของทุกปี “มีวนา” และพี่น้องเกษตรกรเดินหน้าต่อเติมความเขียวให้ผืนป่า กับกิจกรรมปลูกป่า บวชป่า มีกาแฟ มีวนาเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว และเติบโตอย่างแข็งแรงอีกครั้ง

กาแฟมีวนาและเกษตรกรใน 7 หมู่บ้านจะร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ จัดกิจกรรม “ปลูกป่าในสวนกาแฟ” เพิ่ม ไม้ยืนต้น ให้ร่มเงา ช่วยพืชกาแฟเติบโตดีขึ้นและยังเพิ่ม ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้พื้นที่ป่าอีกด้วย  โดยปีนี้จัดที่ บ้านห้วยไคร้ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงรายพื้นที่ป่าต้นน้ำที่คงความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก  โดยแจกจ่ายต้นกล้าแก่เกษตรกรใน 7 หมู่บ้าน จำนวน11,500 ต้น ซึ่งสถิติการปลูกตลอด 11 ปีที่ผ่านมาของมีวนา รวม  153,488 ต้น ที่ชาวมีวนาปลูกคืนผืนป่าต้นน้ำ

ในปี 2569 ที่จะถึงนี้ เราตั้งเป้าจะ “ปลูกต้นไม้เพิ่มอีก 10,000 ต้น”เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ “ปลูกต้นไม้ ปลูกใจรักป่า” ไปพร้อมกันกิจกรรมจากชาวมีวนา เกิดขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของ พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่, ทีมส่งเสริมจากมีวนา, ภาครัฐ เอกชน  รวมถึง “คุณ” ผู้สนับสนุนกาแฟ    มีวนาทุกคน ที่ต้องการรักษาผืนป่าเชียงรายไว้อย่างยั่งยืน

 

มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” ร่วมกับเครือข่ายจัดงาน “เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง”

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คือแนวทางขจัดความยากจนในสังคมไทย
มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” ร่วมกับเครือข่าย จัดงาน
“เท่าหรือเทียม: เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง”

เพราะพลังการบูรณาการ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คือ แนวทางขจัดความยากจนในสังคมไทย

มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคม และหน่วยงานภาครัฐ จัดงาน เท่าหรือเทียม: เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง”  ที่หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดพื้นที่รับฟัง แบ่งปันประสบการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมอง ข้อเสนอ การแก้ไขปัญหาคนจนเมืองจากผู้ลงมือปฏิบัติจริงจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำมาสู่การออกแบบเครื่องมือแก้ปัญหาคนจนเมืองที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และร่วมกันขับเคลื่อนงานนี้อย่างต่อเนื่อง

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเวที Mini Forum : Call for Action ร่วมแก้ปัญหาคนจนเมือง โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของภาคธุรกิจในการแก้ไขปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม

คุณวิเชียรกล่าวว่า “ภาคธุรกิจไทยมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและสังคม เพราะเป็นผู้จ้างงานและใช้ทรัพยากรจำนวนมากในห่วงโซ่ธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน บทบาทของนักธุรกิจในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอาจจะยังน้อยเกินไป ทั้งที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสังคมโดยตรง ดังนั้นภาคธุรกิจไม่ควรจำกัดบทบาทเพียงแค่การดำเนินธุรกิจที่เป็นผู้สร้างรายได้ หรือสร้างผลกำไร แต่ควรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เพราะภาคธุรกิจมีทั้งทรัพยากรทุน ทุนมนุษย์ และองค์ความรู้ ที่สามารถนำมาสร้างทั้งการเปลี่ยนแปลงและโอกาส ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ รายได้ หรือความยั่งยืนของสังคม”

หากเรามองว่าแต่ละวันที่ผ่านไปคือการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และความไม่ยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจ การลงทุนเพื่อความเท่าเทียม ความยุติธรรมในสังคม หรือการลงทุนเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของธุรกิจก็ล้วนแต่ ‘คุ้มค่า’ ทั้งสิ้นและเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ

แม้ปัญหาความยากจนจะมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน รวมถึงต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา แต่เชื่อว่า ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ประชาสังคม และธุรกิจ ต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่มีทรัพยากร ทั้งทุนทรัพย์ ทุนมนุษย์ รวมถึงองค์ความรู้ที่พร้อม ต้องลุกขึ้นมามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมา หลายคน หลายองค์กรทำเต็มที่แล้ว รวมถึงภาครัฐก็มีกลไกสนับสนุน แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาขนาดใหญ่นี้ได้อย่างเพียงพอ

หากเรายอมรับว่าความไม่เพียงพอคือโจทย์หลัก แล้วเหตุใดเราจะไม่เริ่มต้น “เอาชนะ” ความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังในเวลาอันควร แม้ต้องใช้เวลาและมีความยาก แต่เราต้องมีจุดเริ่มต้น เพื่อจะสามารถเดินหน้าเอาชนะปัญหานี้ได้

คุณวิเชียรปิดท้ายด้วยการเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันกำหนดเป้าหมาย และลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยกันเอาชนะความเหลื่อมล้ำ และปัญหาความยากจน เพื่อให้เด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนหรือมีปัญหาในวันนี้ จะสามารถหลุดพ้นจากวงจรความยากจนในอีก 20 ปีข้างหน้า

งานนี้จัดโดย ไทยพีบีเอส โดยศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ หรือ The Active ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” และภาคีเครือข่ายประกอบด้วย มูลนิธิสติ บ้านมั่นคง มูลนิธิอิสรชน มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ บริษัท สุขภาวะข้างถนน จำกัด  โครงการ ForOldy เทใจดอทคอม โครงการ Young Happy  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์  และกรุงเทพมหานคร

ภายในงานประกอบด้วย 6 กิจกรรม คือ นิทรรศการ – ข้อมูล – ภาพถ่าย- เวทีเสวนา-ตลาดแก้จน สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยมีองค์กรภาคสังคมร่วมงานในพื้นที่ตลาดแก้จน ประกอบด้วย หมอหนี้เพื่อประชาชน โดย การธนาคารแห่งประเทศไทย เทใจดอทคอม ร้านปันกัน โดย มูลนิธิยุวพัฒน์ Limited Education โดย โครงการร้อยพลังการศึกษา และบ้านมั่นคง โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

 

ร้านปันกัน เดินหน้าขยายสังคมแห่งการแบ่งปัน มือกับ SB Design Square เปิดแคมเปญ Return for Better : คืนวันนี้ เพื่อโลกที่ดีกว่า

ร้านปันกัน เดินหน้าขยายสังคมแห่งการแบ่งปัน จับมือกับ SB Design Square
เปิดแคมเปญ Return for Better : คืนวันนี้ เพื่อโลกที่ดีกว่า
ร่วมแก้ไขปัญหาการศึกษาไทย

“ร้านปันกัน” โดย มูลนิธิยุวพัฒน์ ร่วมกับ เอสบี ดีไซน์สแควร์  เปิดตัว แคมเปญ “Return for Better คืนวันนี้ เพื่อโลกที่ดีกว่า” ด้วยแนวคิดใหม่ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์สู่ความยั่งยืน เปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคจาก “การทิ้ง” มาเป็น “การคืน”  โดยนำหลักการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน(Circular Resource) มาประยุกต์ใช้กับ “โซฟา” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่มักกลายเป็นภาระขยะเมื่อหมดอายุการใช้งาน โซฟาเก่าที่ถูกส่งคืนจะได้รับการคัดแยก ซ่อมแซม หรือแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ทั้งในรูปแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ยังใช้งานได้ หรือวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ เพื่อลดปริมาณขยะและการใช้ทรัพยากรใหม่ พร้อมส่งต่อคุณค่ากลับคืนสู่สังคม 

นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า เราต้องการให้แคมเปญ ‘Return for Better’ เป็นมากกว่าการจัดการของเก่า แต่คือจุดเริ่มต้นของบทสนทนาใหม่ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคในเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเรื่องใหญ่ แต่อาจเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างการคืนโซฟาเก่า และ เอสบี ดีไซน์สแควร์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การคืนครั้งนี้สร้างประโยชน์ได้อย่างรอบด้าน ทั้งต่อผู้ใช้ ต่อสังคม และต่อโลกของเรา

“แคมเปญนี้เริ่มต้นจากความเข้าใจว่าโซฟาทุกชิ้นล้วนมีเรื่องราว และเมื่อหมดอายุการใช้งาน ก็ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นขยะในทันที เราจึงออกแบบกระบวนการจัดการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การคัดแยกและตรวจสอบ หากยังอยู่ในสภาพดี จะส่งต่อให้ร้านปันกัน เพื่อนำไปจำหน่ายให้ผู้ที่ต้องการใช้งานต่อ โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่ขาดโอกาสผ่านมูลนิธิยุวพัฒน์ ส่วนโซฟาที่ไม่สามารถใช้งานได้ จะถูกแยกส่วน เช่น โครงไม้ ฟองน้ำ ผ้า และโลหะ เพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างเหมาะสม ลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดปริมาณขยะเฟอร์นิเจอร์”

 ทั้งนี้ แคมเปญ Return for Better ยังสะท้อนแนวคิดการเปลี่ยนแปลงใน 3 มิติอย่างชัดเจน ได้แก่ มิติแรกBetter for Sofa โซฟาทุกชิ้นที่ได้รับคืนจะได้รับการดูแล ตรวจสอบ และปรับสภาพอย่างมืออาชีพ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้อีกครั้งอย่างปลอดภัยและมีคุณภาพก่อส่งต่อให้ร้านปันกัน มิติต่อมา Better for People โซฟาที่อยู่ในสภาพดีจะถูกนำไปจำหน่ายที่ “ร้านปันกัน” ในราคาย่อมเยา เพื่อให้ผู้ที่ต้องการได้ใช้งานต่อ โดยรายได้ทั้งหมดจะมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่ขาดโอกาส ใน มูลนิธิยุวพัฒน์ และมิติสุดท้าย Better for the Planet โซฟาที่หมดสภาพจะถูกแยกชิ้นส่วน เช่น ไม้ ฟองน้ำ ผ้า และโลหะ เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม ลดขยะ ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

โดยลูกค้าสามารถเข้าร่วมแคมเปญได้ง่าย ๆ เพียงเลือกซื้อโซฟารุ่นที่ร่วมรายการที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ ทุกสาขา ซึ่งจะมีสัญลักษณ์ “คืนวันนี้ เพื่อโลกที่ดีกว่า” กำกับไว้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นเพียงแจ้งความประสงค์คืนโซฟาเก่าที่ไม่ใช้แล้ว ทางบริษัทจะดำเนินการรับของจากที่บ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมบริการจัดส่งและติดตั้งโซฟาใหม่โดยช่างผู้เชี่ยวชาญโดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม

ด้านนางฐาปนีย์ สินาดโยธารักษ์ ผู้อำนวยการร้านปันกัน โดย มูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งนี้ว่า

“โครงการ Return for Better คืนวันนี้ เพื่อโลกที่ดีกว่า เป็นอีกแนวทางของการสร้างสรรค์ทางออกที่ดีทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมในเวลาเดียวกัน  เพราะช่วยเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคจากการทิ้งของเก่าไปสู่การคืนเพื่อสร้างประโยชน์  โซฟาที่ไม่ใช้งานแล้วในบ้านหนึ่ง อาจกลายเป็นของใช้ที่มีคุณค่าในบ้านอีกหลังหนึ่ง ทำให้ของเก่าไม่ต้องถูกทิ้งกลายเป็นขยะทันทีแต่กลับมาใช้งานได้ต่อ และยังได้ช่วยกันส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทยที่ขาดแคลน ความร่วมมือนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมไปพร้อมกัน”

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/43PRxGH และ facebook.com/sofasolutions

ร้อยพลังการศึกษา” จับมือ “สพฐ” จัดประชุม “ผอ.” 95 ร.ร.ในเครือข่าย เชื่อมต่อพลัง “ชุมชน”

ร้อยพลังการศึกษา" จับมือ "สพฐ"
จัดประชุม "ผอ." 95 ร.ร.ในเครือข่ายเชื่อมต่อพลัง "ชุมชน" หนุนนักเรียน

ร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “ผู้อำนวยการ” จาก 95 โรงเรียนในเครือข่ายจากทั่วประเทศ เข้าร่วมระดมความเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนงานสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนานักเรียนในโครงการกว่า 3 แสนคน

ต่อเนื่องจาก การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกลไกภาครัฐโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ กับกลไกภาคประชาชนโดยมูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อขยายผล 8 เครื่องมือและนวัตกรรมพัฒนานักเรียนภายใต้ “โครงการร้อยพลังการศึกษา” เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมานั้น   เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2568 ทั้งสองภาคส่วนได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา โครงการร้อยพลังการศึกษา โดยมีผู้อำนวยการจาก 95 โรงเรียนทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม ภายใต้แนวคิด “พลังความร่วมมือของโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนานักเรียน” ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์  ศูนย์ราชการ และ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

ด้วยตระหนักว่า โรงเรียนและชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนานักเรียน แม้จะเคยมีงานวิจัยที่ ระบุว่า “เด็กไทย 7 ใน 10 คน อยู่ในครัวเรือนรายได้น้อย หรือมีรายได้ต่ำกว่า 8,333 บาท/คน/เดือน แต่ไม่ได้หมายความว่า “ทุนเงิน” เพียงปัจจัยเดียวที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษาและการประคับประครองเยาวชนให้อยู่ในระบบการศึกษา  เพราะยังมี “ทุนประเภทอื่น” ด้วยที่เป็นตัวช่วยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทุนมนุษย์” หรือ “ทุนเครือข่าย” ในพื้นที่ นั่นก็คือ โรงเรียนและชุมชนเพราะมีความใกล้ชิดกับนักเรียนอย่างแน่นแฟ้น”

ที่ผ่านมา แม้โครงการจะมีเครื่องมือและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และนักเรียนเป็นอย่างดี แต่ยังมีความท้าทายที่ส่งผลให้เครื่องมือต่างๆ ยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและไม่ต่อเนื่อง เช่น ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรต่างๆ ที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักเรียน ปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ปัญหาความเข้าใจของครอบครัว ฯลฯ โครงการได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียในชุมชน และพยายามชักชวนให้โรงเรียนทำงานร่วมกับผู้ปกครองและชุมชนในหลากหลายมิติ  ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจของผู้ปกครองและชุมชน การระดมทรัพยากรจากเครือข่ายและภาคส่วนต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนร่วมติดตามดูแลประคับประคองการเรียนและพฤติกรรมของนักเรียน การระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายร่วมวางแผนกิจกรรม ร่วมลงมือปฏิบัติ และการประเมินผลการพัฒนานักเรียนร่วมกัน เป็นต้น

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้  ผู้บริหารโรงเรียนในโครงการได้ร่วมรับฟังนโยบายและวิสัยทัศน์หัวข้อ “ความสำคัญของพลังความร่วมมือของโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนาโรงเรียน”   โดย ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญที่สะท้อนความเข้มแข็งของเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยเชื่อว่าผู้บริหารที่มาร่วมงานเป็นพลังสำคัญในการผสานความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ การดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างคุณภาพโรงเรียน ด้วยการสนับสนุนจากภาคีร้อยพลังการศึกษาที่ร่วมขับเคลื่อนกว่า 100 โรงเรียน ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยกลไกคุณภาพ โอกาส และมาตรฐานการศึกษาที่ดี รวมถึงแนวคิดของ สพฐ. “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ที่ใช้กลไกความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง ภาครัฐ และเอกชน ดังตัวอย่างการลงนาม MOU กับมูลนิธิยุวพัฒน์ในปี 2567 เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา ดังนั้นต่อไปข้างหน้าจึงต้องอาศัยความร่วมมือทุกระดับ ทั้งส่วนกลาง เขตพื้นที่ โรงเรียน ผู้บริหาร และครู เพื่อให้เกิดการใช้เครื่องมืออย่างมีประสิทธิผล พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพ คุณธรรม และทักษะชีวิตที่แข็งแรง พร้อมเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวว่า ทุกท่านคงได้ทราบถึงความท้าทายที่เราพบอยู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจที่มีความยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ อัตราการเจริญเติบโตที่ไม่แข็งแรงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาธรรมาภิบาล หลักนิติธรรม ความเป็นนิติรัฐ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นเรื่องที่น่ากังวล และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาภัยพิบัติ และปัญหาคุณภาพทางการศึกษาที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง เรายังโรงเรียนจำนวนมากที่ยังขาดทรัพยากรที่จำเป็นและเหมาะสมในกาพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน จึงเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าคนนอกระบบการศึกษาอย่างพวกเรามองเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนรวม เป็นเรื่องของเรา เราไม่ได้แค่เป็นคนพึ่งพา และปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

 “ผมเชื่อว่าปัจจัยร่วมที่เราต้องดำเนินการ เพื่อให้ปัญหาและความท้าทายเหล่านี้ทุเลาลง คือการที่เราต้องเตรียมพร้อมทรัพยากรมนุษย์ เด็กในอนาคตมีความเข้มแข็งมากขึ้น มีขีดความสามารถ มีศักยภาพที่จะดูแลตนเอง และคนรอบข้าง และสังคม และมีภูมิคุ้มกันของปัญหาต่างๆ ในสังคม เราจะต้องลงทุน ลงแรง กับทรัพยากรมนุษย์ให้เขามีความเข้มแข็งมากขึ้น”

 ด้านกระบวนการทำงาน เราทุกคนมีความเชื่อว่า เราต่างคนต่างทำ อาจจะทำให้เราพัฒนาหรือก้าวข้ามอุปสรรคได้ไม่เต็มที่สมบูรณ์ เราต้องมาผนึกกำลังกัน ทั้งท่านที่อยู่ในระบบการศึกษา และทุกคนที่ล้วนมีส่วนได้เสียกับอนาคตของประเทศชาติด้วยเช่นกัน ดังนั้นกระบวนการของการร้อยเรียงพลังน่าจะสำคัญที่สุด ทำให้เรามีโอกาสส่งมอบสิ่งที่ดีให้กับอนาคตของประเทศ หนึ่งในตัวอย่างความร่วมมือของงานร้อยพลังการศึกษา เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ในการร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาและสร้างอนาคตที่ดีสำหรับเด็กไทยอย่างยั่งยืน ผ่านเครื่องมือและนวัตกรรมพัฒนานักเรียนโดยภาคีที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทำงานร่วมกับโรงเรียนที่มีความต้องการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและพัฒนานักเรียน เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางการศึกษา นับจากเริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่ ปี 2558 ปัจจุบันมี 8 เครื่องมือ ประกอบด้วย ทุนการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์   สื่อดิจิทัล วิชาคณิตศาสตร์ และ วิชาวิทยาศาสตร์ Learn Education  สื่อดิจิทัล วิชาภาษาอังกฤษ Winner English  ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์  โครงการพัฒนาเด็กประถมวัย ICAP แพลตฟอร์มแนะแนว a-chieve  โครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม มูลนิธิยุวพัฒน์ โครงการ FOOD FOR GOOD  มีจำนวนเด็กที่ได้รับโอกาสกว่า 320,000 คน

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.yuvabadhanafoundation.org/th/get-involved/collaborationforeducation/

FOOD FOR GOOD จัดงาน The Fundraising Charity Lunch  ระดมทุมเพื่อโภชนาการเยาวชนไทย

FOOD FOR GOOD จัดงาน The Fundraising Charity Lunch
ระดมทุมเพื่อโภชนาการเยาวชนไทย

ความตั้งใจจากหลากหลายภาคส่วนมารวมกัน เพื่อส่งต่อ “โภชนาการที่ดี” ให้เด็กๆ นี่คืออีกหนึ่งก้าวของการเปลี่ยนแปลง ที่เริ่มต้นจาก “อาหาร” และหล่อเลี้ยงไปถึง “อนาคต”  เพราะทุกมือที่ยื่นมา…รวมกันกลายเป็นมื้อแห่งโอกาส

โครงการ FOOD FOR GOOD จัดงาน FOOD FOR GOOD, The Fundraising Charity Lunchร่วมถ่ายทอดความหมายของ Food for Good Thailand  ณ The Botanical House พร้อมชวนทุกท่านร่วมระดมทุนเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมโภชนาการที่ดีให้กับเด็กไทยไปพร้อมๆ กับอาหารกลางวันมื้อพิเศษ โดย “เชฟแก้ว ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร” แชมป์คนแรกของรายการมาสเตอร์เชฟประเทศไทย เป็นผู้รังสรรค์เมนูสุดพิเศษทั้ง 5 จาน โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 60 ท่านเข้าร่วม รวมถึงผู้อำนวยการและคุณครูจากโรงเรียนวัดบน “ประจงอนุสรณ์” ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานร่วมกับ FOOD FOR GOOD

กิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นมื้อพิเศษที่รังสรรค์โดย เชฟแก้ว ปวีณ์นุช แชมป์มาสเตอร์เชฟคนแรกของประเทศไทย ร่วมกับทีมเชฟจาก Le Gros Chat Bangkok และ The Botanical House เท่านั้น หากยังเป็นเวทีแห่งความร่วมมือจากผู้คนหลากหลายที่มาร่วมลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

ด้วยพลังน้ำใจจากทุกท่าน เราระดมทุนได้ทั้งสิ้น 140,500 บาท เพื่อสนับสนุนการทำงานของโครงการ FOOD FOR GOOD ในการดูแลโภชนาการของเด็กนักเรียนให้เติบโต แข็งแรง พร้อมเรียนรู้ และมีอนาคตที่ดีขอขอบคุณทุกมือที่ร่วมกันสร้าง – ทั้งเชฟ ทีมงาน The Botanical House ผู้สนับสนุนทุกท่าน และเครือข่ายโรงเรียนที่ร่วมเดินทางกับเราในการขับเคลื่อนโภชนาการที่ดี

เพราะ “อาหารที่ดี” คือรากฐานของ “อนาคตของชาติ” และ “ความร่วมมือ” คือพลังที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง

 

ร้อยพลังการศึกษากลไกสร้างความร่วมมือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคมส่งมอบห้องเรียนดิจิตัลต้นแบบ

ร้อยพลังการศึกษากลไกสร้างความร่วมมือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม
ส่งมอบห้องเรียนดิจิตัลต้นแบบลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน จากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กศส.) ในปี 2567 พบว่ามีเด็กกว่า 1.02 ล้านคน ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ยากจนและห่างไกล และครอบครัวเปราะบาง ที่ส่งผลให้เด็กไม่สามารถเรียนหนังสือต่อได้จนจบการศึกษา 

จากการทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ มาอย่างยาวนาน ในวันนี้โครงการร้อยพลังการศึกษาได้เข้ามาเปลี่ยนห้องเรียนธรรมดา ให้กลายเป็นห้องเรียนดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เต็มไปด้วยความหวัง สร้างความร่วมมือเพื่ออนาคตของเด็กไทย ในพื้นที่โรงเรียนบ้านวังเพลิง จ. ลพบุรี ที่สำคัญคือ พร้อมทำหน้าที่เป็นโชว์รูมห้องเรียนต้นแบบ เพื่อขยายผลความร่วมมือกับภาคเอกชนด้วยกลไกการสนับสนุนของภาครัฐและภาคสังคม

คุณอุทุมพร แจ่มเมือง รองผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) จังหวัดลพบุรี ได้มาร่วมสัมผัสห้องเรียนใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยแห่งนี้ เธอเล่าว่า โครงการนี้เกิดจากการร่วมมือของหลายฝ่าย โดยกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ได้เข้ามาเป็นแรงผลักดันสำคัญ สนับสนุนห้องเรียนดิจิทัลด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษายุคใหม่

โรงเรียนบ้านวังเพลิงเป็นเครือข่ายของมูลนิธิยุวพัฒน์มาเป็นระยะเวลา 6-7 ปีแล้ว ปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับทุนจากมูลนิธิถึง 6 คน นอกจากทุนการศึกษาแล้ว นักเรียนที่นี่ได้รับโอกาสเข้าถึงหลักสูตรดิจิทัลที่ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในตำราเรียน แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะชีวิตที่จำเป็นต่อโลกอนาคต

สิ่งที่ร้อยพลังการศึกษาได้มาร่วมพัฒนาโรงเรียน สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับโรงเรียนทั้งด้านการบริหารจัดการหลักสูตร  การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากเครื่องมือที่ดีและมีมาตรฐาน มีคุณภาพ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเท่าทันกับเทคโนโลยีในอนาคต คุณครูก็ได้รับการเติมเต็มความรู้และเตรียมความพร้อมให้สามารถสอนเด็กได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญเราได้เห็นเด็กนักเรียนมีความสุข และความสนุก ในการเรียนรู้จากเครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่เด็กเป็นศูนย์กลาง

 จากกระดานดำสู่หน้าจอที่เปิดโลกกว้าง

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ มองว่าการสร้างห้องเรียนดิจิทัลนี้ไม่ใช่แค่การให้เครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ ๆ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดกับเด็กๆ ซึ่งโครงการร้อยพลังการศึกษานั้นพยายามพัฒนาบทบาทของตนเองในการเป็นกลไกสร้างความร่วมมือทั้งจากภาคสังคม ภาครัฐ และภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คุณวิเชียรได้ขยายความถึงกลไกการทำงานของร้อยพลังการศึกษาเพิ่มด้วยว่า

“ร้อยพลังการศึกษาเป็นกลไกที่เชื่อมโยงภาคีการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนเพื่อมอบโอกาสการเรียนรู้ที่รอบด้านให้กับเด็กไทย ผ่าน 6 เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ โครงการทุนการศึกษาโดยมูลนิธิยุวพัฒน์  ห้องเรียนดิจิทัลด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดย เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น ห้องเรียนดิจิทัลวิชาภาษาอังกฤษโดยวินเนอร์ อิงลิช โครงการครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Teach for Thailand) โครงการครูแนะแนวรุ่นใหม่ เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ค้นหาเส้นทางอาชีพของตัวเอง โดย a-chieve และส่วนสุดท้ายคือการส่งเสริมจริยธรรมและคุณธรรมให้กับเด็กในโครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม ปัจจุบันได้พัฒนาและนำเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการศึกษาเข้าสู่โรงเรียน วิทยาลัย และศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ ขยายความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในสังคม เพื่อร่วมกันพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ”

การพัฒนาห้องเรียนต้นแบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานี้ เป็นการนำร่องพัฒนาโดยใช้กลไกการสนับสนุนของภาครัฐ โดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มี มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม กระตุ้นให้ภาคเอกชนร่วมลงมือพัฒนาสังคมในด้านต่างๆ ประกอบด้วย ด้านการเกษตร การบริหารการจัดการน้ำแบบองค์รวม พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ด้านการท่องเที่ยวชุมชน ด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อมในชุมชน รวมไปถึงด้านการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี กล่าวคือจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 120% ของเงินสนับสนุนที่จ่ายจริงตามที่สำนักงานกำหนด  และในกรณีการสนับสนุนด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษา จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 50% ของเงินสนับสนุน

“ความร่วมมือของภาคสังคม และการสนับสนุนของภาครัฐที่เข้มแข็ง เมื่อสองส่วนมาร้อยพลังเข้าด้วยกัน ประกอบการเสริมพลังการขยายผลจากภาคเอกชนที่มีความสนใจในประเด็นปัญหาสังคม โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายผลความร่วมมือ เพื่อปิดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับเด็กได้อีกเป็นจำนวนมาก”

จากลพบุรีสู่เป้าหมายการขยายผลกับโรงเรียนทั่วประเทศ

คุณธานินทร์ ทิมทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด หนึ่งในภาคีเครือข่ายร้อยพลังการศึกษา พูดถึงโรงเรียนบ้านวังเพลิงด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ไม่ใช่แค่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ แต่เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นของครูและนักเรียนที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง และมีคุณครูที่แอคทีฟในการให้ความรู้ ด้วยเป้าหมายที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการศึกษา

วันนี้ ห้องเรียนดิจิทัลของโรงเรียนบ้านวังเพลิงไม่ได้เป็นเพียงโชว์รูมของเทคโนโลยีการศึกษา แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน อนาคตของเด็กไทยก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ และนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล เพื่อสร้างโรงเรียนแห่งโอกาสให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ

ภาคเอกชนที่สนใจสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชน หรือขยายผลในด้านอื่นๆ ร่วมกัน ติดต่อที่โครงการร้อยพลังการศึกษาที่เบอร์ โทรศัพท์ 02 301 -1117

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มูลนิธิเพื่อคนไทย, องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันแถลง “ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.”

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มูลนิธิเพื่อคนไทย, องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันแถลง
“ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.”

สถานการณ์ในประเทศไทย ในช่วงนี้ที่ควรต้องจับตามองเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน คือการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.จ.อีก 46 จังหวัด ที่กำลังจะหมดวาระลงในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ และจะมีการเลือกตั้งพร้อมกันในวันที่ 1 ก.พ.ปี 2568 ที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตอย่างมาก

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มูลนิธิเพื่อคนไทย, องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันแถลง “ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.” สำรวจความคิดเห็นประชาชน 2,017 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-11 ตุลาคม 2567 โดยเป็นประชาชนจากเขตเมืองใหญ่ 33% เขตชนบท 67% เป็นผู้ที่เคยเลือกตั้งมาแล้ว 80% และเป็นผู้เลือกตั้งครั้งแรก (First Voter) 20%

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัย ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพบประชาชน 62.4% ติดตามและเฝ้ารอที่จะไปเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.จ.ในครั้งนี้  ขณะที่ 37.4% ไม่ได้ตั้งใจติดตามมากนักแต่จะไปเลือกตั้ง และ 0.2% ไม่ได้ติดตามและจะไม่ไปเลือกตั้ง

เมื่อถามว่าระหว่างผู้สมัครที่สังกัดและไม่สังกัดพรรคการเมืองระดับชาติจะเลือกผู้สมัครแบบใดมากกว่า พบว่า 57.2% เลือกผู้สมัครที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง ขณะที่ 42.8% เลือกผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง โดย First Voter เลือกที่สังกัดพรรคการเมืองเป็นส่วนใหญ่ที่ 54.5%

คนไทยรับรู้ว่ามีการทุจริตในระดับ อบจ. แต่ยังรับได้หากทำให้เจริญ  เมื่อถามว่าทราบหรือไม่ว่าประเทศไทยมีการทุจริตงบประมาณท้องถิ่นเป็นมูลค่ามหาศาล พบว่า 95.4% รับทราบ รับรู้ผ่านสื่อและข่าวสาร และรับทราบจากประสบการณ์ตรง ทั้งการสังเกตว่างานไม่ได้มาตรฐาน พบเห็นการทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง ผ่านคำบอกเล่าในท้องถิ่น และพบเห็นด้วยตนเอง

อย่างไรก็ดีนโยบายเรื่องความโปร่งใส การต่อต้านคอร์รัปชันอาจไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครมากนัก โดยพบว่า 85% ยังคงเลือกผู้สมัครท่านนั้น แม้จะไม่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันเลยก็ตาม แต่จะมองว่าเป็นคนทำงานหรือคนคุ้นเคยหรือไม่ และที่ผ่านมามีผลงานดี เข้าใจปัญหาท้องถิ่น ไม่มีประวัติเสีย และมองว่าการที่นักการเมืองไม่ค่อยชูประเด็นความโปร่งใสหรือนโยบายต่อต้านการทุจริต เพราะจะเป็นการสร้างศัตรูทางการเมือง มีแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และเป็นนโยบายที่ทำเองไม่ได้

ผลสำรวจที่น่าสนใจคือ เมื่อถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ “หาก อบจ. มีการทุจริตคอร์รัปชันบ้าง แต่มีผลงานและทำประโยชน์ให้พื้นที่ของท่านเป็นเรื่องที่รับได้” พบว่าคนส่วนใหญ่กว่า 40.4% เห็นด้วย ขณะที่ 32% ไม่แน่ใจ และไม่เห็นด้วยเป็นส่วนน้อยที่ 27.6% กลุ่ม First Voter ส่วนใหญ่ตอบไม่เห็นด้วย

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจครั้งนี้พบว่าคนอาจไม่ได้คำนึงถึงความซื่อสัตย์มากขนาดนั้น เมื่อเทียบกับการเมืองใหญ่ระดับประเทศที่คนต้องการเรื่องความโปร่งใส ต่อต้านการทุจริตมากกว่า

“ในการเมืองระดับประเทศเวลาทำเรื่องดัชนีคอร์รัปชัน คนรุ่นใหม่และคนที่มีสิทธิเลือกตั้งในปัจจุบันจะปฏิเสธการโกงแต่ทำให้เจริญมากขึ้น แต่ในระดับท้องถิ่นยังไม่เหมือนระดับประเทศ จากที่ทำการสำรวจมาตลอด พบว่าในระดับประเทศมีน้อยกว่า 5% ที่ยังเอารัฐบาลที่โกงแล้วพัฒนาประเทศ ขณะที่อีก 95% ไม่ยอมรับ แต่เมื่อมาดูการเลือกตั้ง อบจ. ในคำถามว่าทุจริตแต่สร้างผลงานเป็นเรื่องที่รับได้ กลับเห็นด้วยถึง 40.4% จึงมีอีกหลายอย่างที่พรรคการเมือง ภาคการเมือง ภาคประชาชน องค์กรต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน” รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว

เมื่อถามว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนใหญ่ 68% ตอบว่าเกิดขึ้นโดยทั่วไป ขณะที่ 27.3% เชื่อว่าเกิดขึ้นในบางพื้นที่เท่านั้น และ 4.7% ไม่มีการซื้อเสียงเกิดขึ้น โดยได้สอบถามราคาในการซื้อเสียงในแต่ละภูมิภาคพบว่า ราคาต่ำสุดอยู่ที่ภาคกลาง 100 บาท ขณะที่ราคาสูงสุดอยู่ที่ภาคเหนือ 5,000 บาท เฉลี่ยทุกภูมิภาคคาดว่าจะมีการซื้อเสียงที่ 903 บาทต่อคน

ขณะเดียวกันเมื่อถามว่า ยอมรับการซื้อเสียงในการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.จ.ได้หรือไม่ กว่า 63.7% บอกว่ายอมรับได้ โดยมองว่าเป็นเรื่องปกติในการเลือกตั้งท้องถิ่น และเป็นสินน้ำใจ ค่าเดินทาง อย่างไรก็ดี 56% ตอบว่าเมื่อรับเงินแล้ว จะไม่เลือกคนที่จ่ายเงินให้ เพราะต้องการที่จะต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและความถูกต้อง ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง แต่มีโอกาสจะเปลี่ยนใจเลือกผู้สมัครได้หากมีการจ่ายเงินสูงกว่า 2,784 บาท

รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อบจ.เฉพาะจังหวัดที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2568 รวมทั้งหมด 46 จังหวัด จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 28.22 ล้านคน ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ 60% และหากมีการซื้อเสียงที่หัวละ 900 บาท คาดว่าจะมีเงินสะพัดช่วงเลือกตั้งมากกว่า 15,000 ล้านบาท

ความหวังแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในการเมืองท้องถิ่น

ขณะเดียวกันแม้ผลสำรวจจะพบว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ว่ามีการทุจริตในระดับท้องถิ่นหรือระดับจังหวัดและมองเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อถามว่าอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ พบว่ากว่า 93.6% อยากมีส่วนร่วม เพราะอยากสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง ช่วยให้เกิดการตรวจสอบ สร้างความเท่าเทียมและความยุติธรรม แสดงความเป็นพลเมืองที่ดีและเพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณที่โปร่งใสด้วย

นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย กล่าวว่า หวังว่าการสำรวจทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป ที่จะได้รับรู้ความเห็นของตนและของคนอื่นๆ และรับรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับนักการเมืองและผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าประชาชนอยากได้อะไร อยากเห็นนักการเมืองเข้ามาทำประโยชน์อะไรในท้องถิ่น และคงเป็นประโยชน์กับองค์กรที่มีหน้าที่ในการกำกับการเลือกตั้ง เช่น กกต. เพราะผลสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ว่ามีการซื้อเสียง ก็หวังว่า กกต.จะรับทราบเรื่องนี้ และทำงานด้วยความขยันขันแข็งในการป้องกัน เช่นเดียวกับผลสำรวจที่บอกว่าประชาชนรับรู้ว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ป.ป.ช. อาจต้องมีการตรวจสอบและดำเนินการเพิ่มเติมมากกว่าเดิม

“มีเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกดีใจ คือประชาชนตื่นรู้ว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน และเมื่อได้รับเงินซื้อเสียงมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไม่เลือกให้คนซื้อเสียง นั่นหมายความว่าการซื้อเสียงอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป ใครที่จะลงทุนก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน และที่เป็นคุณอย่างมาก คือการที่ประชาชนได้แสดงความเห็นว่าอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นจุดพลิกผันที่แท้จริง”


ที่มาเนื้อหา https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2827777

DCS  แบ่งปันมุมมองด้านความปลอดภัย การเข้าถึงข้อมูล ในยุคดิจิทัล

DCS แบ่งปันมุมมองด้านความปลอดภัย
การเข้าถึงข้อมูล ในยุคดิจิทัล

เมื่อโลกธุรกิจเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ “ความมั่นคงทางไซเบอร์” กลายเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นความไว้วางใจที่องค์กรต้องสร้างให้กับทุกคนในห่วงโซ่โดยเฉพาะกับพันธมิตรธุรกิจและลูกค้า

บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS) Datapro Computer Systems Co., Ltd. ร่วมแบ่งปันมุมมองและแนวทางการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ในงาน Palo Alto Networks: Ignite on tour Thailand 2025 ภายใต้หัวข้อ Enterprise Workspace (PAB + Prisma Access) โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจประกันภัย ที่มีความจำเป็นและต้องให้ความสำคัญในการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน

การร่วมงานครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของ DCS ในการเสริมสร้างความปลอดภัยสำหรับการเข้าถึงข้อมูล พร้อมทั้งยังได้ร่วมอัพเดทถึงแนวโน้มล่าสุดในโลกไซเบอร์จากผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity และนวัตกรรม AI ที่ช่วยยกระดับการป้องกันภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของธุรกิจในยุคดิจิทัลทุกวันนี้ DCS สามารถสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและลูกค้าในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านข้อมูลดิจิตัลในทุกมิติ พร้อมให้บริการและโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกภาคส่วน ตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน

DCS มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่สร้างความน่าเชื่อถือ มอบบริการที่รับมือกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจของคู่ค้าขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจ ดูข้อมูลของ DCS เพิ่มเติมที่ www.facebook.com/datapro.co.th

This site is registered on wpml.org as a development site.