ชวนส่งพลังให้เด็กไทย ‘ได้ลอง’ และ ‘ได้ค้นหา’ ตัวเอง ผ่านเสื้อการกุศล Limited Education ร่วมกับ 3 ศิลปินไทย Studio Cantalove, Art of Hongtae, SOMMARKZ

ชวนคุณส่งพลังให้เด็กไทย ‘ได้ลอง’ และ ‘ได้ค้นหา’ ตัวเองผ่านเสื้อการกุศล
Limited Education “Let Them Try. Let Them Find.”

ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังคงเป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่ยังรอการแก้ไข สิ่งที่ตามมาจากช่องว่างที่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ คือปัญหาด้านการศึกษาที่ทำให้แต่ละปีมีเด็กไทยหลุดออกจากระบบกว่า 100,000 คนในทุกปี ยังไม่รวมตัวเลขของเด็กๆ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงอีกกว่า 4.8 ล้านคน หากเราเชื่อว่าเยาวชนคือกำลังที่สำคัญของชาติ ในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าในอนาคต โอกาสทางการศึกษาจึงไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูก ‘จำกัด’ ออกจากเส้นทางของเด็กๆ

ที่ผ่านมา การพูดถึงปัญหาการศึกษาและชักชวนให้คนทั่วไปมาร่วมช่วยเหลือมักอยู่ในรูปแบบของการบริจาคเงิน ผ่านการกระตุ้นให้ผู้คนรู้สึก ‘สงสาร’ กับคุณภาพการเรียนของเด็กๆ แต่ไม่ได้ ‘ตระหนัก’ กับปัญหาการศึกษาที่ฝังรากลึกและรอการแก้ไขรวมถึง ‘พื้นที่’ ในการมีส่วนร่วม ที่ดูเข้าถึงยากและเป็นที่รู้จักน้อยเกินไป จนหลายคนที่มีความคิดอยากแก้ไข อาจไม่ได้ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ต้องการ

Limited Education  คือพื้นที่รวมสินค้าลิมิเต็ด ที่เราอยากชวนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่หรือรายย่อย สื่อมวลชน และผู้บริโภคทุกคน มาร่วมกันลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แคบลงอีกนิด ผ่านการสร้างสรรค์และซื้อสินค้ารูปแบบพิเศษจากแบรนด์ต่างๆ ที่จะเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนเครื่องมือพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนไทย และอนาคตของประเทศที่เราจะฝากไว้กับพวกเขาในอนาคต

ที่ผ่านคุณอาจเคยเห็นชื่อ Limited Education และคิดว่าเป็นการสะกดผิด แต่เบื้องหลังชื่อที่อ่านสะดุดนี้ คือปัญหาการศึกษาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าแค่ตัวสะกดเดียว…แต่ในทุกปี ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนกว่า 90% เกิดจากภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความเครียด¹ โดยการศึกษาถูกชี้ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความเครียดนั้น เมื่อเด็กไม่มีพื้นที่ให้ “ลอง–ผิด–ค้นหา” ตัวเอง พวกเขาจึงเจอโจทย์ชีวิตที่หนักหน่วงเกินวัย ส่วนสำคัญคือ 59% ของนักเรียนมัธยมบอกว่า “ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อหรือทำงานด้านใด”² เมื่อเด็กขาดแรงบันดาลใจ ไม่รู้จะเรียนไปทำไม… ระบบการศึกษาที่ไม่เอื้อให้ค้นหาตัวตน ยิ่งผลักพวกเขาให้หลุดออกจากระบบ และทิ้งปมในใจเรื่องเป้าหมายชีวิต

“Let Them Try. Let Them Find.” จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นมากกว่าแค่เสื้อแฟชั่น แต่เป็นคำชวนให้สังคมหันกลับมาฟังเสียงของเด็กๆ ที่ยังไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้ได้ลองผิดลองถูก ผ่านเสื้อยืดการกุศลที่ได้แรงบันดาลใจจาก 3 ศิลปินไทย Studio Cantalove, Art of Hongtae และ SOMMARKZ ร่วมกับ Limited Education ที่ไม่เพียงแค่ออกแบบเสื้อยืด Oversize 3 ลายพิเศษ แต่ยังส่งต่อแรงบันดาลใจเพื่อสนับสนุนโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ พวกเขาเชื่อในพลังของ “การลอง” และอยากให้เด็กไทยได้มีโอกาส “ค้นหาตัวเอง” เหมือนกับที่พวกเขาเคยมี

เสื้อยืด Cotton Comb 40 เกรดพรีเมียมมีลายให้เลือกดังนี้ 
ลายภาพเด็กเปิดประตูสู่แสงแห่งความเป็นไปได้ โดยแบรนด์ Studio Cantalove

ลายนกฮูกใส่แว่นดำ กับคำว่า ‘Limited Education’ โดย Art of Hongtae

ลายมือเขียน ‘เสื้อตัวนี้ช่วยให้เด็กไทยมีเอ็ดดูเคชั่น’ โดย SOMMARKZ

ผู้ที่สนใจสามารถสนับสนุนเด็กไทยได้กับโครงการร้อยพลังการศึกษา รายได้ทั้งหมดมอบให้โครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อให้เด็กไทยได้เรียน ได้ลอง ได้เลือกเส้นทางของตัวเอง

🛒 บริจาคได้ที่ https://shop.line.me/@tcfe

📄 ลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Facebook/IG: Limited Education, Line@TCFE

 

FOOD FOR GOOD จัดงาน The Fundraising Charity Lunch  ระดมทุมเพื่อโภชนาการเยาวชนไทย

FOOD FOR GOOD จัดงาน The Fundraising Charity Lunch
ระดมทุมเพื่อโภชนาการเยาวชนไทย

ความตั้งใจจากหลากหลายภาคส่วนมารวมกัน เพื่อส่งต่อ “โภชนาการที่ดี” ให้เด็กๆ นี่คืออีกหนึ่งก้าวของการเปลี่ยนแปลง ที่เริ่มต้นจาก “อาหาร” และหล่อเลี้ยงไปถึง “อนาคต”  เพราะทุกมือที่ยื่นมา…รวมกันกลายเป็นมื้อแห่งโอกาส

โครงการ FOOD FOR GOOD จัดงาน FOOD FOR GOOD, The Fundraising Charity Lunchร่วมถ่ายทอดความหมายของ Food for Good Thailand  ณ The Botanical House พร้อมชวนทุกท่านร่วมระดมทุนเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมโภชนาการที่ดีให้กับเด็กไทยไปพร้อมๆ กับอาหารกลางวันมื้อพิเศษ โดย “เชฟแก้ว ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร” แชมป์คนแรกของรายการมาสเตอร์เชฟประเทศไทย เป็นผู้รังสรรค์เมนูสุดพิเศษทั้ง 5 จาน โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 60 ท่านเข้าร่วม รวมถึงผู้อำนวยการและคุณครูจากโรงเรียนวัดบน “ประจงอนุสรณ์” ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานร่วมกับ FOOD FOR GOOD

กิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นมื้อพิเศษที่รังสรรค์โดย เชฟแก้ว ปวีณ์นุช แชมป์มาสเตอร์เชฟคนแรกของประเทศไทย ร่วมกับทีมเชฟจาก Le Gros Chat Bangkok และ The Botanical House เท่านั้น หากยังเป็นเวทีแห่งความร่วมมือจากผู้คนหลากหลายที่มาร่วมลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

ด้วยพลังน้ำใจจากทุกท่าน เราระดมทุนได้ทั้งสิ้น 140,500 บาท เพื่อสนับสนุนการทำงานของโครงการ FOOD FOR GOOD ในการดูแลโภชนาการของเด็กนักเรียนให้เติบโต แข็งแรง พร้อมเรียนรู้ และมีอนาคตที่ดีขอขอบคุณทุกมือที่ร่วมกันสร้าง – ทั้งเชฟ ทีมงาน The Botanical House ผู้สนับสนุนทุกท่าน และเครือข่ายโรงเรียนที่ร่วมเดินทางกับเราในการขับเคลื่อนโภชนาการที่ดี

เพราะ “อาหารที่ดี” คือรากฐานของ “อนาคตของชาติ” และ “ความร่วมมือ” คือพลังที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง

 

ร้อยพลังการศึกษา” จับมือ “สพฐ” จัดประชุม “ผอ.” 95 ร.ร.ในเครือข่าย เชื่อมต่อพลัง “ชุมชน”

ร้อยพลังการศึกษา" จับมือ "สพฐ"
จัดประชุม "ผอ." 95 ร.ร.ในเครือข่ายเชื่อมต่อพลัง "ชุมชน" หนุนนักเรียน

ร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “ผู้อำนวยการ” จาก 95 โรงเรียนในเครือข่ายจากทั่วประเทศ เข้าร่วมระดมความเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนงานสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนานักเรียนในโครงการกว่า 3 แสนคน

ต่อเนื่องจาก การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกลไกภาครัฐโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ กับกลไกภาคประชาชนโดยมูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อขยายผล 8 เครื่องมือและนวัตกรรมพัฒนานักเรียนภายใต้ “โครงการร้อยพลังการศึกษา” เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมานั้น   เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2568 ทั้งสองภาคส่วนได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา โครงการร้อยพลังการศึกษา โดยมีผู้อำนวยการจาก 95 โรงเรียนทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม ภายใต้แนวคิด “พลังความร่วมมือของโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนานักเรียน” ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์  ศูนย์ราชการ และ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

ด้วยตระหนักว่า โรงเรียนและชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนานักเรียน แม้จะเคยมีงานวิจัยที่ ระบุว่า “เด็กไทย 7 ใน 10 คน อยู่ในครัวเรือนรายได้น้อย หรือมีรายได้ต่ำกว่า 8,333 บาท/คน/เดือน แต่ไม่ได้หมายความว่า “ทุนเงิน” เพียงปัจจัยเดียวที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษาและการประคับประครองเยาวชนให้อยู่ในระบบการศึกษา  เพราะยังมี “ทุนประเภทอื่น” ด้วยที่เป็นตัวช่วยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทุนมนุษย์” หรือ “ทุนเครือข่าย” ในพื้นที่ นั่นก็คือ โรงเรียนและชุมชนเพราะมีความใกล้ชิดกับนักเรียนอย่างแน่นแฟ้น”

ที่ผ่านมา แม้โครงการจะมีเครื่องมือและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และนักเรียนเป็นอย่างดี แต่ยังมีความท้าทายที่ส่งผลให้เครื่องมือต่างๆ ยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและไม่ต่อเนื่อง เช่น ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรต่างๆ ที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักเรียน ปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ปัญหาความเข้าใจของครอบครัว ฯลฯ โครงการได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียในชุมชน และพยายามชักชวนให้โรงเรียนทำงานร่วมกับผู้ปกครองและชุมชนในหลากหลายมิติ  ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจของผู้ปกครองและชุมชน การระดมทรัพยากรจากเครือข่ายและภาคส่วนต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนร่วมติดตามดูแลประคับประคองการเรียนและพฤติกรรมของนักเรียน การระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายร่วมวางแผนกิจกรรม ร่วมลงมือปฏิบัติ และการประเมินผลการพัฒนานักเรียนร่วมกัน เป็นต้น

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้  ผู้บริหารโรงเรียนในโครงการได้ร่วมรับฟังนโยบายและวิสัยทัศน์หัวข้อ “ความสำคัญของพลังความร่วมมือของโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนาโรงเรียน”   โดย ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญที่สะท้อนความเข้มแข็งของเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยเชื่อว่าผู้บริหารที่มาร่วมงานเป็นพลังสำคัญในการผสานความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ การดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างคุณภาพโรงเรียน ด้วยการสนับสนุนจากภาคีร้อยพลังการศึกษาที่ร่วมขับเคลื่อนกว่า 100 โรงเรียน ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยกลไกคุณภาพ โอกาส และมาตรฐานการศึกษาที่ดี รวมถึงแนวคิดของ สพฐ. “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ที่ใช้กลไกความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง ภาครัฐ และเอกชน ดังตัวอย่างการลงนาม MOU กับมูลนิธิยุวพัฒน์ในปี 2567 เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา ดังนั้นต่อไปข้างหน้าจึงต้องอาศัยความร่วมมือทุกระดับ ทั้งส่วนกลาง เขตพื้นที่ โรงเรียน ผู้บริหาร และครู เพื่อให้เกิดการใช้เครื่องมืออย่างมีประสิทธิผล พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพ คุณธรรม และทักษะชีวิตที่แข็งแรง พร้อมเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวว่า ทุกท่านคงได้ทราบถึงความท้าทายที่เราพบอยู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจที่มีความยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ อัตราการเจริญเติบโตที่ไม่แข็งแรงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาธรรมาภิบาล หลักนิติธรรม ความเป็นนิติรัฐ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นเรื่องที่น่ากังวล และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาภัยพิบัติ และปัญหาคุณภาพทางการศึกษาที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง เรายังโรงเรียนจำนวนมากที่ยังขาดทรัพยากรที่จำเป็นและเหมาะสมในกาพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน จึงเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าคนนอกระบบการศึกษาอย่างพวกเรามองเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนรวม เป็นเรื่องของเรา เราไม่ได้แค่เป็นคนพึ่งพา และปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

 “ผมเชื่อว่าปัจจัยร่วมที่เราต้องดำเนินการ เพื่อให้ปัญหาและความท้าทายเหล่านี้ทุเลาลง คือการที่เราต้องเตรียมพร้อมทรัพยากรมนุษย์ เด็กในอนาคตมีความเข้มแข็งมากขึ้น มีขีดความสามารถ มีศักยภาพที่จะดูแลตนเอง และคนรอบข้าง และสังคม และมีภูมิคุ้มกันของปัญหาต่างๆ ในสังคม เราจะต้องลงทุน ลงแรง กับทรัพยากรมนุษย์ให้เขามีความเข้มแข็งมากขึ้น”

 ด้านกระบวนการทำงาน เราทุกคนมีความเชื่อว่า เราต่างคนต่างทำ อาจจะทำให้เราพัฒนาหรือก้าวข้ามอุปสรรคได้ไม่เต็มที่สมบูรณ์ เราต้องมาผนึกกำลังกัน ทั้งท่านที่อยู่ในระบบการศึกษา และทุกคนที่ล้วนมีส่วนได้เสียกับอนาคตของประเทศชาติด้วยเช่นกัน ดังนั้นกระบวนการของการร้อยเรียงพลังน่าจะสำคัญที่สุด ทำให้เรามีโอกาสส่งมอบสิ่งที่ดีให้กับอนาคตของประเทศ หนึ่งในตัวอย่างความร่วมมือของงานร้อยพลังการศึกษา เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ในการร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาและสร้างอนาคตที่ดีสำหรับเด็กไทยอย่างยั่งยืน ผ่านเครื่องมือและนวัตกรรมพัฒนานักเรียนโดยภาคีที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทำงานร่วมกับโรงเรียนที่มีความต้องการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและพัฒนานักเรียน เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางการศึกษา นับจากเริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่ ปี 2558 ปัจจุบันมี 8 เครื่องมือ ประกอบด้วย ทุนการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์   สื่อดิจิทัล วิชาคณิตศาสตร์ และ วิชาวิทยาศาสตร์ Learn Education  สื่อดิจิทัล วิชาภาษาอังกฤษ Winner English  ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์  โครงการพัฒนาเด็กประถมวัย ICAP แพลตฟอร์มแนะแนว a-chieve  โครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม มูลนิธิยุวพัฒน์ โครงการ FOOD FOR GOOD  มีจำนวนเด็กที่ได้รับโอกาสกว่า 320,000 คน

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.yuvabadhanafoundation.org/th/get-involved/collaborationforeducation/

ร้อยพลังการศึกษากลไกสร้างความร่วมมือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคมส่งมอบห้องเรียนดิจิตัลต้นแบบ

ร้อยพลังการศึกษากลไกสร้างความร่วมมือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม
ส่งมอบห้องเรียนดิจิตัลต้นแบบลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน จากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กศส.) ในปี 2567 พบว่ามีเด็กกว่า 1.02 ล้านคน ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ยากจนและห่างไกล และครอบครัวเปราะบาง ที่ส่งผลให้เด็กไม่สามารถเรียนหนังสือต่อได้จนจบการศึกษา 

จากการทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ มาอย่างยาวนาน ในวันนี้โครงการร้อยพลังการศึกษาได้เข้ามาเปลี่ยนห้องเรียนธรรมดา ให้กลายเป็นห้องเรียนดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เต็มไปด้วยความหวัง สร้างความร่วมมือเพื่ออนาคตของเด็กไทย ในพื้นที่โรงเรียนบ้านวังเพลิง จ. ลพบุรี ที่สำคัญคือ พร้อมทำหน้าที่เป็นโชว์รูมห้องเรียนต้นแบบ เพื่อขยายผลความร่วมมือกับภาคเอกชนด้วยกลไกการสนับสนุนของภาครัฐและภาคสังคม

คุณอุทุมพร แจ่มเมือง รองผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) จังหวัดลพบุรี ได้มาร่วมสัมผัสห้องเรียนใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยแห่งนี้ เธอเล่าว่า โครงการนี้เกิดจากการร่วมมือของหลายฝ่าย โดยกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ได้เข้ามาเป็นแรงผลักดันสำคัญ สนับสนุนห้องเรียนดิจิทัลด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษายุคใหม่

โรงเรียนบ้านวังเพลิงเป็นเครือข่ายของมูลนิธิยุวพัฒน์มาเป็นระยะเวลา 6-7 ปีแล้ว ปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับทุนจากมูลนิธิถึง 6 คน นอกจากทุนการศึกษาแล้ว นักเรียนที่นี่ได้รับโอกาสเข้าถึงหลักสูตรดิจิทัลที่ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในตำราเรียน แต่ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะชีวิตที่จำเป็นต่อโลกอนาคต

สิ่งที่ร้อยพลังการศึกษาได้มาร่วมพัฒนาโรงเรียน สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับโรงเรียนทั้งด้านการบริหารจัดการหลักสูตร  การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากเครื่องมือที่ดีและมีมาตรฐาน มีคุณภาพ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเท่าทันกับเทคโนโลยีในอนาคต คุณครูก็ได้รับการเติมเต็มความรู้และเตรียมความพร้อมให้สามารถสอนเด็กได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญเราได้เห็นเด็กนักเรียนมีความสุข และความสนุก ในการเรียนรู้จากเครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่เด็กเป็นศูนย์กลาง

 จากกระดานดำสู่หน้าจอที่เปิดโลกกว้าง

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ มองว่าการสร้างห้องเรียนดิจิทัลนี้ไม่ใช่แค่การให้เครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ ๆ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดกับเด็กๆ ซึ่งโครงการร้อยพลังการศึกษานั้นพยายามพัฒนาบทบาทของตนเองในการเป็นกลไกสร้างความร่วมมือทั้งจากภาคสังคม ภาครัฐ และภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คุณวิเชียรได้ขยายความถึงกลไกการทำงานของร้อยพลังการศึกษาเพิ่มด้วยว่า

“ร้อยพลังการศึกษาเป็นกลไกที่เชื่อมโยงภาคีการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนเพื่อมอบโอกาสการเรียนรู้ที่รอบด้านให้กับเด็กไทย ผ่าน 6 เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ โครงการทุนการศึกษาโดยมูลนิธิยุวพัฒน์  ห้องเรียนดิจิทัลด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดย เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น ห้องเรียนดิจิทัลวิชาภาษาอังกฤษโดยวินเนอร์ อิงลิช โครงการครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Teach for Thailand) โครงการครูแนะแนวรุ่นใหม่ เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ค้นหาเส้นทางอาชีพของตัวเอง โดย a-chieve และส่วนสุดท้ายคือการส่งเสริมจริยธรรมและคุณธรรมให้กับเด็กในโครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม ปัจจุบันได้พัฒนาและนำเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการศึกษาเข้าสู่โรงเรียน วิทยาลัย และศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ ขยายความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในสังคม เพื่อร่วมกันพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ”

การพัฒนาห้องเรียนต้นแบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานี้ เป็นการนำร่องพัฒนาโดยใช้กลไกการสนับสนุนของภาครัฐ โดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มี มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม กระตุ้นให้ภาคเอกชนร่วมลงมือพัฒนาสังคมในด้านต่างๆ ประกอบด้วย ด้านการเกษตร การบริหารการจัดการน้ำแบบองค์รวม พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ด้านการท่องเที่ยวชุมชน ด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อมในชุมชน รวมไปถึงด้านการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี กล่าวคือจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 120% ของเงินสนับสนุนที่จ่ายจริงตามที่สำนักงานกำหนด  และในกรณีการสนับสนุนด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษา จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 50% ของเงินสนับสนุน

“ความร่วมมือของภาคสังคม และการสนับสนุนของภาครัฐที่เข้มแข็ง เมื่อสองส่วนมาร้อยพลังเข้าด้วยกัน ประกอบการเสริมพลังการขยายผลจากภาคเอกชนที่มีความสนใจในประเด็นปัญหาสังคม โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายผลความร่วมมือ เพื่อปิดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับเด็กได้อีกเป็นจำนวนมาก”

จากลพบุรีสู่เป้าหมายการขยายผลกับโรงเรียนทั่วประเทศ

คุณธานินทร์ ทิมทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด หนึ่งในภาคีเครือข่ายร้อยพลังการศึกษา พูดถึงโรงเรียนบ้านวังเพลิงด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ไม่ใช่แค่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ แต่เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นของครูและนักเรียนที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง และมีคุณครูที่แอคทีฟในการให้ความรู้ ด้วยเป้าหมายที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการศึกษา

วันนี้ ห้องเรียนดิจิทัลของโรงเรียนบ้านวังเพลิงไม่ได้เป็นเพียงโชว์รูมของเทคโนโลยีการศึกษา แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน อนาคตของเด็กไทยก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ และนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล เพื่อสร้างโรงเรียนแห่งโอกาสให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ

ภาคเอกชนที่สนใจสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชน หรือขยายผลในด้านอื่นๆ ร่วมกัน ติดต่อที่โครงการร้อยพลังการศึกษาที่เบอร์ โทรศัพท์ 02 301 -1117

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มูลนิธิเพื่อคนไทย, องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันแถลง “ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.”

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, มูลนิธิเพื่อคนไทย, องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันแถลง
“ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.”

สถานการณ์ในประเทศไทย ในช่วงนี้ที่ควรต้องจับตามองเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน คือการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.จ.อีก 46 จังหวัด ที่กำลังจะหมดวาระลงในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ และจะมีการเลือกตั้งพร้อมกันในวันที่ 1 ก.พ.ปี 2568 ที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตอย่างมาก

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มูลนิธิเพื่อคนไทย, องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันแถลง “ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.” สำรวจความคิดเห็นประชาชน 2,017 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-11 ตุลาคม 2567 โดยเป็นประชาชนจากเขตเมืองใหญ่ 33% เขตชนบท 67% เป็นผู้ที่เคยเลือกตั้งมาแล้ว 80% และเป็นผู้เลือกตั้งครั้งแรก (First Voter) 20%

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัย ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพบประชาชน 62.4% ติดตามและเฝ้ารอที่จะไปเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.จ.ในครั้งนี้  ขณะที่ 37.4% ไม่ได้ตั้งใจติดตามมากนักแต่จะไปเลือกตั้ง และ 0.2% ไม่ได้ติดตามและจะไม่ไปเลือกตั้ง

เมื่อถามว่าระหว่างผู้สมัครที่สังกัดและไม่สังกัดพรรคการเมืองระดับชาติจะเลือกผู้สมัครแบบใดมากกว่า พบว่า 57.2% เลือกผู้สมัครที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง ขณะที่ 42.8% เลือกผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง โดย First Voter เลือกที่สังกัดพรรคการเมืองเป็นส่วนใหญ่ที่ 54.5%

คนไทยรับรู้ว่ามีการทุจริตในระดับ อบจ. แต่ยังรับได้หากทำให้เจริญ  เมื่อถามว่าทราบหรือไม่ว่าประเทศไทยมีการทุจริตงบประมาณท้องถิ่นเป็นมูลค่ามหาศาล พบว่า 95.4% รับทราบ รับรู้ผ่านสื่อและข่าวสาร และรับทราบจากประสบการณ์ตรง ทั้งการสังเกตว่างานไม่ได้มาตรฐาน พบเห็นการทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง ผ่านคำบอกเล่าในท้องถิ่น และพบเห็นด้วยตนเอง

อย่างไรก็ดีนโยบายเรื่องความโปร่งใส การต่อต้านคอร์รัปชันอาจไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครมากนัก โดยพบว่า 85% ยังคงเลือกผู้สมัครท่านนั้น แม้จะไม่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันเลยก็ตาม แต่จะมองว่าเป็นคนทำงานหรือคนคุ้นเคยหรือไม่ และที่ผ่านมามีผลงานดี เข้าใจปัญหาท้องถิ่น ไม่มีประวัติเสีย และมองว่าการที่นักการเมืองไม่ค่อยชูประเด็นความโปร่งใสหรือนโยบายต่อต้านการทุจริต เพราะจะเป็นการสร้างศัตรูทางการเมือง มีแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และเป็นนโยบายที่ทำเองไม่ได้

ผลสำรวจที่น่าสนใจคือ เมื่อถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ “หาก อบจ. มีการทุจริตคอร์รัปชันบ้าง แต่มีผลงานและทำประโยชน์ให้พื้นที่ของท่านเป็นเรื่องที่รับได้” พบว่าคนส่วนใหญ่กว่า 40.4% เห็นด้วย ขณะที่ 32% ไม่แน่ใจ และไม่เห็นด้วยเป็นส่วนน้อยที่ 27.6% กลุ่ม First Voter ส่วนใหญ่ตอบไม่เห็นด้วย

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจครั้งนี้พบว่าคนอาจไม่ได้คำนึงถึงความซื่อสัตย์มากขนาดนั้น เมื่อเทียบกับการเมืองใหญ่ระดับประเทศที่คนต้องการเรื่องความโปร่งใส ต่อต้านการทุจริตมากกว่า

“ในการเมืองระดับประเทศเวลาทำเรื่องดัชนีคอร์รัปชัน คนรุ่นใหม่และคนที่มีสิทธิเลือกตั้งในปัจจุบันจะปฏิเสธการโกงแต่ทำให้เจริญมากขึ้น แต่ในระดับท้องถิ่นยังไม่เหมือนระดับประเทศ จากที่ทำการสำรวจมาตลอด พบว่าในระดับประเทศมีน้อยกว่า 5% ที่ยังเอารัฐบาลที่โกงแล้วพัฒนาประเทศ ขณะที่อีก 95% ไม่ยอมรับ แต่เมื่อมาดูการเลือกตั้ง อบจ. ในคำถามว่าทุจริตแต่สร้างผลงานเป็นเรื่องที่รับได้ กลับเห็นด้วยถึง 40.4% จึงมีอีกหลายอย่างที่พรรคการเมือง ภาคการเมือง ภาคประชาชน องค์กรต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน” รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว

เมื่อถามว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนใหญ่ 68% ตอบว่าเกิดขึ้นโดยทั่วไป ขณะที่ 27.3% เชื่อว่าเกิดขึ้นในบางพื้นที่เท่านั้น และ 4.7% ไม่มีการซื้อเสียงเกิดขึ้น โดยได้สอบถามราคาในการซื้อเสียงในแต่ละภูมิภาคพบว่า ราคาต่ำสุดอยู่ที่ภาคกลาง 100 บาท ขณะที่ราคาสูงสุดอยู่ที่ภาคเหนือ 5,000 บาท เฉลี่ยทุกภูมิภาคคาดว่าจะมีการซื้อเสียงที่ 903 บาทต่อคน

ขณะเดียวกันเมื่อถามว่า ยอมรับการซื้อเสียงในการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.จ.ได้หรือไม่ กว่า 63.7% บอกว่ายอมรับได้ โดยมองว่าเป็นเรื่องปกติในการเลือกตั้งท้องถิ่น และเป็นสินน้ำใจ ค่าเดินทาง อย่างไรก็ดี 56% ตอบว่าเมื่อรับเงินแล้ว จะไม่เลือกคนที่จ่ายเงินให้ เพราะต้องการที่จะต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและความถูกต้อง ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง แต่มีโอกาสจะเปลี่ยนใจเลือกผู้สมัครได้หากมีการจ่ายเงินสูงกว่า 2,784 บาท

รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อบจ.เฉพาะจังหวัดที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2568 รวมทั้งหมด 46 จังหวัด จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 28.22 ล้านคน ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ 60% และหากมีการซื้อเสียงที่หัวละ 900 บาท คาดว่าจะมีเงินสะพัดช่วงเลือกตั้งมากกว่า 15,000 ล้านบาท

ความหวังแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในการเมืองท้องถิ่น

ขณะเดียวกันแม้ผลสำรวจจะพบว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ว่ามีการทุจริตในระดับท้องถิ่นหรือระดับจังหวัดและมองเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อถามว่าอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ พบว่ากว่า 93.6% อยากมีส่วนร่วม เพราะอยากสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง ช่วยให้เกิดการตรวจสอบ สร้างความเท่าเทียมและความยุติธรรม แสดงความเป็นพลเมืองที่ดีและเพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณที่โปร่งใสด้วย

นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย กล่าวว่า หวังว่าการสำรวจทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป ที่จะได้รับรู้ความเห็นของตนและของคนอื่นๆ และรับรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับนักการเมืองและผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าประชาชนอยากได้อะไร อยากเห็นนักการเมืองเข้ามาทำประโยชน์อะไรในท้องถิ่น และคงเป็นประโยชน์กับองค์กรที่มีหน้าที่ในการกำกับการเลือกตั้ง เช่น กกต. เพราะผลสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ว่ามีการซื้อเสียง ก็หวังว่า กกต.จะรับทราบเรื่องนี้ และทำงานด้วยความขยันขันแข็งในการป้องกัน เช่นเดียวกับผลสำรวจที่บอกว่าประชาชนรับรู้ว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ป.ป.ช. อาจต้องมีการตรวจสอบและดำเนินการเพิ่มเติมมากกว่าเดิม

“มีเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกดีใจ คือประชาชนตื่นรู้ว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน และเมื่อได้รับเงินซื้อเสียงมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไม่เลือกให้คนซื้อเสียง นั่นหมายความว่าการซื้อเสียงอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป ใครที่จะลงทุนก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน และที่เป็นคุณอย่างมาก คือการที่ประชาชนได้แสดงความเห็นว่าอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นจุดพลิกผันที่แท้จริง”


ที่มาเนื้อหา https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2827777

DCS  แบ่งปันมุมมองด้านความปลอดภัย การเข้าถึงข้อมูล ในยุคดิจิทัล

DCS แบ่งปันมุมมองด้านความปลอดภัย
การเข้าถึงข้อมูล ในยุคดิจิทัล

เมื่อโลกธุรกิจเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ “ความมั่นคงทางไซเบอร์” กลายเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นความไว้วางใจที่องค์กรต้องสร้างให้กับทุกคนในห่วงโซ่โดยเฉพาะกับพันธมิตรธุรกิจและลูกค้า

บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS) Datapro Computer Systems Co., Ltd. ร่วมแบ่งปันมุมมองและแนวทางการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ในงาน Palo Alto Networks: Ignite on tour Thailand 2025 ภายใต้หัวข้อ Enterprise Workspace (PAB + Prisma Access) โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจประกันภัย ที่มีความจำเป็นและต้องให้ความสำคัญในการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน

การร่วมงานครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของ DCS ในการเสริมสร้างความปลอดภัยสำหรับการเข้าถึงข้อมูล พร้อมทั้งยังได้ร่วมอัพเดทถึงแนวโน้มล่าสุดในโลกไซเบอร์จากผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity และนวัตกรรม AI ที่ช่วยยกระดับการป้องกันภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของธุรกิจในยุคดิจิทัลทุกวันนี้ DCS สามารถสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและลูกค้าในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านข้อมูลดิจิตัลในทุกมิติ พร้อมให้บริการและโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกภาคส่วน ตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน

DCS มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่สร้างความน่าเชื่อถือ มอบบริการที่รับมือกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจของคู่ค้าขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจ ดูข้อมูลของ DCS เพิ่มเติมที่ www.facebook.com/datapro.co.th

พรีเมียร์ อินโนว่า ยกระดับสมุนไพรไทย สู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพด้วยนาโนเทคโนโลยี

พรีเมียร์ อินโนว่า ยกระดับสมุนไพรไทย สู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีนาโน

ประเทศไทยอุดมไปด้วยสมุนไพรอันทรงคุณค่า บางชนิดเราเคยเห็นกันอย่างคุ้นชินจนอาจเคยมองข้าม แต่ทราบไหมว่าสมุนไพรไทยของเราหลายชนิดเป็นของวิเศษในวงการสุขภาพและความงาม

พรีเมียร์ อินโนว่า ได้เปลี่ยนสมุนไพรไทย อาทิ เก็กฮวยป่า  ขมิ้นชัน หอมแดง และเปเปอร์มินต์ มะแขว่น และสมุนไพรไทยอีกมากมาย ให้เป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนาโนที่มีมูลค่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผู้บริโภค  ในรูปแบบอาหารเสริม, เครื่องสําอางและเวชสําอางรูปแบบต่างๆ ที่ผ่านการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีนาโนที่ทันสมัย เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพผู้บริโภค เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตดีขึ้น

นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากการวิจัยและเทคโนโลยีนาโนแล้ว ยังถ่ายทอดองค์ความรู้ ขยายแนวคิดการยกระดับสมุนไพรไทยให้กับผู้ที่สนใจผ่านคอร์สการอบรม ได้ร่วมเรียนรู้การสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยนาโนเทคโนโลยี โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย

พรีเมียร์ อินโนว่า นอกจากจะยกระดับสมุนไพรไทยให้มีมูลค่าแล้ว ยังช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้ชุมชน อนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น และพัฒนาทักษะเกษตรกรสู่เกษตรกรนวัตกรอย่างยั่งยืน

ผู้ที่สนใจสินค้าหรือคอร์สอบรมจากผู้เชี่ยวชาญสามารถ ติดตามรายละเอียดได้ที่ Line Official Account: https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=premierinnova

แทมมาริน วิลเลจ รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม จัดกิจกรรม “สืบฮิตโตยฮอย ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง”

แทมมาริน วิลเลจ รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม
จัดกิจกรรม “สืบฮิตโตยฮอย ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง”

 

โรงแรมแทมมาริน วิลเลจ  ให้ความสำคัญกับการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม จัดกิจกรรม “สืบฮิตโตยฮอย ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ทำบุญโรงแรม สรงน้ำพระและรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่เคารพ

“ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” หรือประเพณี ปีใหม่เมืองเป็นประเพณีสำคัญของชาวเหนือหรือชาวล้านนา สืบเนื่องมาจากอดีตกาลที่จะยึดถือเป็นช่วงเปลี่ยนศักราชใหม่ โดยกำหนดจุดที่พระอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งมักจะตรงกับวันที่ 13 เมษายน หรือ 14 เมษายนของแต่ละปี และจะกินเวลาประมาณ 4-7 วัน ยาวนานกว่าสงกรานต์ของภาคอื่น  

ชาวหมู่บ้านมะขาม โรงแรมแทมมาริน วิลเลจ  ให้ความสำคัญกับการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม จัดกิจกรรม “สืบฮิตโตยฮอย ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ทำบุญโรงแรม สรงน้ำพระและรดน้ำดำหัวผู้เฒ่า ผู้แก่ ผู้ใหญ่ที่นับถือ ที่อาศัยอยู่บริเวณบ้านใกล้เรือนเคียง ในชุมชนรอบข้างโรงแรม และแขกผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์ร่วมกัน รวมไปถึงทีมพนักงานของรายาเฮอริเทจ ที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน มาพบปะกันและร่วมกิจกรรมตามประเพณี เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี  

โดยบรรยากาศภายในโรงแรมฯ มีการประดับประดา ไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น อบอวลด้วยกลิ่นหอมอ่อนละมุนของ น้ำดอกขมิ้นส้มป่อย และสีสันอันงดงามของ ดอกซอมพอ ดอกสะบันงา ดอกเข็ม และ โกสน ดอกไม้พื้นเมืองนานาชนิดที่มีความหมายเป็นสิริมงคล ที่บรรจงประดับประดาในพาน (ขันดอก) เพื่อสื่อถึงความเคารพ ความรัก และความกตัญญูที่แฝงอยู่ในวิถีล้านนา รวมไปถึงการจัดแสดง วิธีการทำขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณที่หาทานยาก พร้อมกับน้ำดื่มสมุนไพรที่สดชื่น ไว้บริการแขกผู้มาเยือนได้ลิ้มลองกันด้วย

ทางโรงแรมแทมมาริน วิลเลจ  ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอนุรักษ์ สืบสาน และส่งต่อประเพณีอันล้ำค่านี้ให้เรายังคง “ฮอย” แห่งวัฒนธรรมไว้ต่อไปอย่างงดงาม

โรงแรมรายาเฮอริเทจ ร่วมรักษาสืบสานประเพณีวัฒนธรรมล้านนากับกิจกรรม “สระเกล้าดำหัว”

โรงแรมรายาเฮอริเทจ ร่วมรักษาและสืบสานประเพณีวัฒนธรรมล้านนาอันดีงาม
กิจกรรม “สระเกล้าดำหัว” สืบสานป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง 2568

เทศกาลสงกรานต์นี้โรงแรมรายาเฮอริเทจ ได้ร่วมรักษาและสืบสานประเพณีวัฒนธรรมล้านนาอันดีงาม จัดกิจกรรม “สระเกล้าดำหัว” สืบสานป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง 2568 รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคารพ ที่ได้สนับสนุนร่วมมือกับทางโรงแรมในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและบริเวณรอบข้างของโรงแรม

“สระเกล้าดำหัว” เป็นประเพณีที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมของชาวล้านนา ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ ซึ่งในช่วงพิธีผู้คนจะ น้ำส้มป่อย (หมายถึงการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี การลบล้างความขุ่นเคือง มาผสมกับดอกไม้หอมนานาชนิด และน้ำปรุงหอม (น้ำอบ) ใส่ในสลุงเงินหรือขัน รวมทั้ง จัดเตรียมเครื่องสักการะต่างๆ เพื่อใช้ในพิธีสักการะผู้เฒ่า ผู้แก่ (ผู้ใหญ่) ที่เคารพ (ญาติผู้ใหญ่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงวัยวุฒิ ตลอดจนถึงผู้มีอุปการะคุณ) เพื่อขอขมาในสิ่งที่เคยล่วงเกิน และแสดงความเคารพ เมื่อทำการขอขมา และให้พรแล้ว ผู้เฒ่า ผู้แก่ (ผู้ใหญ่) ก็จะนำน้ำส้มป่อยนั้นลูบหัวตัวเอง เสมือนเป็นการรับคำขอขมา และปล่อยวางความไม่ดี ลบล้างความขุนเคืองที่ผ่านมาออกไป จากนั้นผู้เฒ่า ผู้แก่จะมอบพรให้กับลูกหลานเพื่อเป็นสิริมงคลในช่วงเทศกาลปี๋ใหม่เมือง

กิจกรรม “สระเกล้าดำหัว”เป็นกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์ของชาวล้านนา โรงแรมรายาเฮอริเทจร่วมสืบสาน และรักษาความดั้งเดิมที่ดีงามนี้ไว้ พร้อมส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจไม่ให้สิ่งดีดีแบบนี้เลือนหายไปตาลกาลเวลา

 

ขอบคุณข้อมูลเรื่องสระเกล้าดำหัวจาก https://accl.cmu.ac.th/Knowledge/details/2629

 

 

ได้เวลาใจดีกับโลก ด้วยพลังความร่วมมือ ร้อยพลังสร้างสังคมดี

ได้เวลาใจดีกับโลก ด้วยพลังความร่วมมือ ร้อยพลังสร้างสังคมดี
ภาคธุรกิจและภาคสังคม ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกันลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหา

ภาคธุรกิจและภาคสังคม ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มุมมอง และความตระหนักถึงสถานการณ์โลก ประเด็นปัญหาเร่งด่วน ที่แต่ละภาคส่วนได้ร่วมกันลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดมุมมองการทำงานจากหลายหลายมิติ สามารถเชื่อมต่อและขยายผลได้

คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในงาน Soul Connect 2025 Humanice มหกรรมพบเพื่อนใจ ภายใต้หัวข้อ “SDG Forward Faster ได้เวลาใจดีกับโลก” โดยเชิญวิทยากรจากภาคธุรกิจและภาคสังคม มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มุมมอง และความตระหนักถึงสถานการณ์โลก ประเด็นปัญหาเร่งด่วน ที่แต่ละภาคส่วนได้ร่วมกันลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เพื่อให้เกิดมุมมองการทำงานจากหลายหลายมิติ สามารถเชื่อมต่อและขยายผลได้ ร่วมสนทนาโดย ดร ธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการบริหาร UNGCNT คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ และ คุณท็อป พิพัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน และ ผู้ก่อตั้ง Platform ECOLIFE ดำเนินรายการ โดย คุณ ธันยมัย Business Editor, The Cloud

คุณวิเชียรกล่าวถึงความจำเป็นและเหมาะสมของการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนทั้งสองด้านคือสังคมและธุรกิจว่า “ทำไมธุรกิจต้องแยกส่วนกับปัญหาสังคม เพราะสังคมก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ธุรกิจต้องรับผิดชอบ และเราเห็นว่าทรัพยากรของภาคธุรกิจนั้นมีมาก มีบุคลากร ทุนทรัพย์ องค์ความรู้ เราจึงคิดว่าจะนำประโยชน์จากการทำงานภาคธุรกิจมารับใช้สังคม  ธุรกิจที่ทำอยู่ต้องบูรณาการทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน  ดำเนินธุรกิจที่ส่งผลให้เกิดประโยชน์กับภาคสังคมโดยรวมด้วย เพราะการที่เราทำให้ภาคสังคมมีความเข้มแข็ง มีความยั่งยืนมากขึ้น ก็เป็นการลดความเสี่ยง และให้ประโยชน์ สร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจด้วยเช่นกัน” เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการธุรกิจกับการพัฒนาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อภาคธุรกิจและสังคมโดยรวม

ช่วงที่ 2 ของการสัมมนา คุณวิเชียรได้มีการชวนผู้เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนว่า ปัญหาเร่งด่วนของสังคมไทยที่เกี่ยวข้องกับทุกๆคนคืออะไรบ้าง ใช่ปัญหาเหล่านี้หรือไม่ เรื่องสิ่งแวดล้อม การศึกษา ปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ การสาธารณสุข ความยุติธรรมในสังคม ธรรมาภิบาล ทุจริตคอร์รัปชัน คุณวิเชียรเชื่อว่าทุกคนคงคิดว่า ทุกเรื่องเป็นปัญหาของสังคมทั้งหมด ที่อยู่ใกล้ตัวของเรา แต่คงมีระดับของความสำคัญที่ใกล้ตัวแตกต่างกัน  สอดคล้องกับที่มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” ได้มีการทำผลสำรวจ คนไทยมอนิเตอร์ ในปี พ.ศ. 2557 พบว่าปัญหาสังคมตามผลวิจัย นั้นคือเรื่องเดียวกับในปัจจุบัน และดูเหมือนว่าปัญหายังมีความรุนแรงอยู่มาก

เพราะฉะนั้นในความเห็นของคุณวิเชียรเห็นว่า เราตระหนักรู้ว่าปัญหาของเราคืออะไร แต่สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรค คือ เราจะจัดการอย่างไร และเป็นหน้าที่ของใครบ้าง สิ่งนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด หากเราสนใจปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ถ้าตราบใดที่เรายังคิดว่าไม่ใช่หน้าที่เรา เป็นหน้าที่ของคนอื่น เช่น ภาครัฐบาล หรือภาคประชาสังคม แล้วปัญหาสังคมจะได้รับการแก้ไขอย่างไร

ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนที่ใหญ่ที่สุด  คือ การตระหนักรู้  หรือที่เรียกว่า Sense of urgency ความเร่งด่วนที่เราต้องรู้ว่า เราต้องลงมือจัดการกับปัญหานั้น และคิดว่าเป็นเรื่องของทุกคนที่มีบทบาทหน้าที่ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และสิ่งที่ต้องทำ คือ การจัดการ สร้างระบบของความร่วมมือ ให้กลายเป็นระบบนิเวศพลังของสังคม เกิดต้นแบบของการสร้างการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้ ผ่านการสร้างพลังพลเมืองที่มีส่วนร่วมเพื่อส่วนรวม  (Active Citizen) และ Corporate Citizen ให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง

ภายใต้แนวปฏิบัติความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์  “Harmonious Alignment of Success” เรามุ่งดำเนินธุรกิจบนหลักธรรมาภิบาล โดยพยายามลดผลกระทบทางลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายในงานคุณวิเชียรได้นำเสนอตัวอย่างกลไกความร่วมมือ อาทิ โครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า “มีวนา” ซึ่งเป็นความร่วมมือในการอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำ จ.เชียงราย โครงการร้อยพลังการศึกษา เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชนไทย และกลไกการระดม

This site is registered on wpml.org as a development site.